วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประเทศไทยยุค ไอที

 เทคโนโลยีในปัจจุบันมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของคนเรามาก  ไอทีคือเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและอำนายความสะดวกในด้านต่างๆเช่นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย  ในยุคสมัยนี้คอมพิวเตอร์กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้กับงานด้านต่างๆกันอย่างกว้างขวางเช่นทุกวันนี้  การที่เราจะบรรยายหรือนำเสนอเรื่องราวต่างๆโดยอาศัยการพูดหรือการเขียนกระดานเอย่างเดียวนั้น  คงจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยและน่าเบื่อเอามากๆเนื่องจากในปัจจุบันนี้  เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันอยู่ในสำนักงานหรือสถาบันการศึกษาทั่วๆไปนั้น มีความสามารถในการแสดงภาพ เสียง และข้อความ ต่างๆประสานสอดคล้องกันเป็นอย่างดี
ปีนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคไอที่แล้ว ปีนี้เป็นปีที่แวดวงไอทีเปลี่ยนแปลงอย่างมากมากเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ตัวเทคโนโลยีที่ก้าวเร็วจนคนหลายคนตามไม่ทัน แม้แต่วัฒนธรรมในการใช้ไอทีของคนเราก็เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ที่หันมาใช้ไอทีเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการสร้างสีสันให้กับชีวิต เราจึงได้เห็นบทบาทของเยาวชนไทย ทั้งในฐานะผู้รับเทคโนโลยีและเจ้าของเทคโนโลยี  หลายๆเวทีการประกวดที่มีกลุ่มเป้าหมายใหญ่คือ กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา เรามักจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด ไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆจากเยาวชนเหล่านี้เพิ่มขึ้น
ในปัจจุบันนี้ได้มีหลายหน่วยงานตระหนักถึงความสำคัญทางด้านไอทีที่จะมีต่อเยาวชนเพราะไอทีคือขุมทรัพย์มหัศจรรย์ที่เชื่อมโยงความรู้มาสู่เยาวชน  จึงได้มีโครงการหลายโครงการออกมาให้ความรู้แก่เยาวชนทั้งหลาย  เช่น ทางกระทรวงศึกษาธิการได้เปิดอบรบหลักสูตรการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนการสอนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯที่ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลที่ทรงนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนและประชาชนโดยการนำข้อมูลข่าวสารและความรู้สู่โรงเรียนในชนบทที่ห่างไกลได้มีโอกาสเรียนรู้คอมพิวเตอร์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและนักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพ นอกจากจะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาแล้วยังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนพิการ เพื่อเด็กป่วยในโรงพยาบาลและเพื่อพัฒนาผู้ต้องขังในทัณฑสถานอีกด้วย
การอบรมหลักสูตรการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนการสอนในครั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯได้ทรงโปรดเกล้าฯให้เชิญครูคอมพิวเตอร์มาอบรมร่วมกับครูคณิตศาสตร์ให้ร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ใช้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับ โรงเรียน นักเรียนสื่อการเรียนการสอน โดยมีวัตถุประสงค์ให้รู้วิธีป้องกันไวรัส สามารถนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน โดยโครงการจะให้การสนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่จำเป็น พร้อมจัดอบรมให้แก่บุคลากรของหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงนักเรียนในชนบทและผู้ด้อยโอกาสทำให้ระบบการเรียนการสอน เชื่อมโยงองค์ความรู้สู่ภูมิปัญญาท้องถิ่น เด็กนักเรียนในชนบทที่ ห่างไกลสามารถนำขุมทรัพย์อันมหัศจรรย์จากอินเตอร์เน็ตสู่การเรียนการสอน เชื่อมโยงข้ามภูมิภาคและเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ อันหลากหลายได้อย่างทั่วถึงไม่ตกยุคตกสมัยอีกต่อไป 
ไอทีมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหม่ทางสังคมโลก  เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็วมีการกระจายแบบทุกทิศทุกทาง มีระบบตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยเหตุนี้ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ  การเมือง และสังคมที่แตกต่างจากในอดีตมากจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ทางด้านเศรษฐกิจจากประเทศหนึ่งมีผลกระทบต่อประเทศอื่นๆอย่างรวดเร็ว  ผลของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้าย เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ ปัจจุบันคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารมีบทบาทมากขึ้น มีการใช้เครือค่าย เช่นอินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงการทำงานต่างๆ การดำเนินธุรกิจใช้สารสนเทศอย่างกว้างขวางเกิดคำใหม่ว่า ไซเบอร์สเปซ มีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในไซเบอร์สเปซ เช่น การพูดคุย การซื้อสินค้าและบริการ การทำงานผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดสภาพที่เสมือนจริงมากมาย เช่นห้องสมุดเสมือนจริง ห้องเรียนเสมือนจริงที่ทำงานเสมือนจริงฯลฯ
เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแบบเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัสและตอบสนองตามความต้องการ  คือสามารถเลือกตามความต้องการได้ เพราะเทคโนโลยีมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าจนสามารถนำจนสามารถนำระบบสื่อสารมาตอบสนองตามความต้องการของมนุษย์ได้
เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ความเกี่ยวโยงของเครือข่ายสารสนเทศทำให้เกิดสังคมโลกาภิวัฒน์  ระบบเศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก  ทั่วโลกจะมีกระแสหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้าบริการอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนเอื้ออำนวยให้การดำเนินการมีขอบเขตกว้างขวางมากยิ่งขึ้น  ระบบเศรษฐกิจของโลกจึงผูกพันกับทุกประเทศ และเชื่อมโยงกันแนบแน่นขึ้น   เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น  อีกทั้งยังทำให้วิธีการตัดสินใจมีทางเลือกได้มากขึ้น  มีความละเอียดอ่อนในการตัดสินปัญหาได้ดีขึ้น 
เทคโนโยยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทที่สำคัญในทุกๆวงการ  ดังนั้นจึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ  การศึกษาและการเมือง ได้อย่างมาก  เราสามารถรับรู้ข่าวสารได้ทันที เราใช้เครือค่ายอินเตอร์เน็ตในการสื่อสารระหว่างกันและติดต่อกับคนได้ทั่วโลก จึงเป็นที่แน่ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม  สังคม การศึกษา  เศรษฐกิจและการเมืองมีส่วนมาจากการวิวัฒนาการทางด้านสารสนเทศ


ยุค IT

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

 แอปเปิล จุดพลุ "The New iPad" พร้อมกราฟิกชิป 4 แกน และรองรับ 4G LTE
      
       ทิม คุก ประธานกรรมการบริหาร แอปเปิล กล่าวถึงยอดจำหน่ายไอแพดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2011 ทั่วโลกไปได้กว่า 15.4 ล้านเครื่อง และมีแอปฯ ไอแพดในสโตร์อยู่ที่ 200,00 แอปฯ ในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ
      
       และในวันนี้แอปเปิลก็พร้อมจะเปิดตัวไอแพดรุ่นใหม่ ที่ถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง
      
       โดยสเปกของไอแพดรุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมหน้าจอ Retina Display ขนาด 9.7 นิ้ว ที่ความละเอียด 3.1 ล้านพิกเซล 2047 x 1536 พิกเซล (ความละเอียดต่อตารางนิ้วจะอยู่ที่ 264ppi) สามารถใช้รับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงมากกว่า 1080p ได้ นอกจากนั้นหน้าจอยังมาพร้อมเฉดสีที่ดีกว่าเดิมถึง 44%
      
       สำหรับความหนาของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 9.4 มิลลิเมตรพร้อมน้ำหนัก 1.5 ปอนด์
      
       ในส่วนหน่วยประมวลผลจะขับเคลื่อนด้วย A5X Dual Core และกราฟิกแบบ Quad Core
      
       ด้านกล้องถ่ายภาพจะถูกปรับเปลี่ยนไปใช้ iSight Camera ความละเอียด 5 ล้่านพิกเซล พร้อม IR Filter AF Lock Face Detection มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบเดียวกับ iPhone 4s และสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p พร้อมระบบลดสัญญาณรบกวน (Noise) ระหว่างการบันทึกในสภาพแสงน้อย
      
       นอกจากนั้นไอแพดใหม่ยังมาพร้อมคีย์บอร์ดที่แนบ voice dictate ซึ่งรองรับภาษา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน
      
       ในส่วนการรองรับสัญญาณโทรศัพท์ "The New iPad" จะรองรับทั้ง 3G HSPA+ ที่ 21Mbps และ LTE พร้อมอายุการใช้งานแบตเตอรีต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งจะอยู่ที่ 10 ชั่วโมง และ 9 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับ 4G
      
       โดยไอแพดรุ่นใหม่จะพร้อมวางจำหน่ายในวันที่ 16 มีนาคม ในประเทศ สหรัฐอเมริกาแคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงค์โปร และ ออสเตรเลีย ในราคา 499 เหรียญ สำหรับ 16GB 599 เหรียญสำหรับ 32GB และ 699 เหรียญสำหรับ 64GB
      
       ส่วนในรุ่น WiFi + 4G จะมีราคาเริ่มต้นที่ 629 เหรียญ ถึง 829 เหรียญเป็นต้นไป

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

bX-ulf59e
bX-ulf59e

มัลติมีเดียคืออะไร?

             มัลติมีเดีย คือ ระบบสื่อสารข้อมูลข่าวสารหลายชนิด โดยผ่านสื่อทางคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ฐานข้อมูล ตัวเลข กราฟิก ภาพ เสียง
และวีดิทัศน์
             มัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์สื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟ ภาพศิลป์ (Graphic Art) เสียง (Sound) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) และวีดิทัศน์ เป็นต้น ถ้าผู้ใช้สามารถควบคุมสื่อเหล่านี้ให้แสดงออกมาตามต้องการได้ระบบนี้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิ-สัมพันธ์ (Interactive Multimedia)
             มัลติมีเดีย คือ โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการนำเสนอโปรแกรมประยุกต์  ซึ่งรวมถึงการนำเสนอข้อความสีสัน  ภาพ กราฟฟิก (Graphic images) ภาพเคลื่อนไหว (Animation)  เสียง (Sound) และภาพยนตร์วีดิทัศน์ (Full motion Video) ส่วนมัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่รับการตอบสนองจากผู้ใช้โดยใช้คีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) เป็นต้น
             ดังนั้นจึงสามารถสรุปความหมายของมัลติมีเดียได้ว่า มัลติมีเดีย  คือ การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการสื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟิก (Graphic)  ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และวีดิทัศน์ (Video) เป็นต้น และถ้าผู้ใช้สามารถที่จะควบคุมสื่อให้นำเสนอออกมาตามต้องการได้จะเรียกว่า  มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia)   การปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้สามารถจะกระทำได้โดยผ่านทางคีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) การใช้มัลติมีเดียในลักษณะปฏิสัมพันธ์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้หรือทำกิจกรรม รวมถึงดูสื่อต่าง ๆ ด้วยตนเอง  สื่อต่าง ๆ ที่นำมารวมไว้ในมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง วีดิทัศน์ จะช่วยให้เกิดความหลากหลาย ชาน่าสนใจ และเร้าความสนใจ เพิ่มความสนุกสนานในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความแตกต่างระหว่าง web1.0 - 4.0

ความแตกต่างระหว่างเว็บ 1.0 , 2.0 , 3.0 , 4.0
มารู้จัก Web
..          เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาก็ย่อมเกิดขึ้น " internet " ก็เช่นกันที่พัฒนาจาก " web1.0 " เป็น " web2.0 " เราจะเห็นว่าโลกของ " internet " มีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก จึงมีศัพท์แปลกๆ ที่ใช้เรียกกันออกมาให้เรางง ซึ่งบางที่ศัพท์ที่เราคิดว่าแปลกและไกลตัวสำหรับเราเกินกว่าจะเข้าใจ ไม่เคยได้ยินศัพท์นี้มาก่อน ที่จริงแล้วใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดเพราะเราใช้กันอยู่ทุกวัน แต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง internet เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่ทุกวัน แต่พอถามว่าโปรแกรมที่เราใช้อยู่เรียกว่าอะไร?? แน่นอนส่วนใหญ่ย่อมไม่รู้ว่าโปรแกรมที่เราใช้อยู่นี่เค้าเรียกว่าว่าอะไรกัน
Web1.0 ยุคแห่งการเริ่มต้น
            ในยุคแรกเริ่มของเว็บไซต์ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มีเพียงกลุ่มคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้งานอุปกรณ์ในการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์และโมเด็มยังมีราคา แพง ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตยังมีจำนวนน้อยและค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีราคาสูงและความเร็วในการเชื่อมต่อและความเร็วในการใช้งานยังมีจำกัด ทำให้เว็บไซต์ในยุคนั้นมีลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความและภาพนิ่งเป็นส่วน
ก่อนที่เราจะมาทำความรู้จักกับ " web2.0 " ก่อนที่จะมาเป็น " web2.0 " เรามี " web1.0 " มาก่อน. " web1.0 " เป็นเว็บสมัยดั้งเดิมเป็นเว็บที่อยู่ในสมัยยุคแรกที่ internet กำลังดัง เพราะไอ้เจ้า " web1.0 " ตัวนี้นี่แหละที่ทำให้โลกของ internet ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะ " web1.0 " เป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ด้านต่างๆ ที่เราอยากรู้ ซึ่งจะส่งเนื้อหาต่างๆ ขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงเดียวเพื่อนำเสนอผู้ที่มาเข้าชม พูดได้ง่ายๆ " web1.0 " ก็คือเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราเปิดเพื่อค้นหาข้อมูลในการทำรายงานส่งอาจารย์นั่นเอง ในทฤษฎีของการสื่อสารถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว ( one-way comunication )เพราะไม่มีการตอบรับจากผู้ที่ได้รับข้อมูล (แต่สามารถส่ง email หาผู้เขียนได้)
ตัวอย่างวิดีโอเว็บ 1.0 : http://www.youtube.com/watch?v=q93Xpj7Tc50

Web2.0 ยุคแห่งการพัฒนาและการเชื่อมโยง
            ในยุคของ Web 2.0 ที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเล่นอินเตอร์เน็ตมีราคาถูกลง มีการส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนทวีคูณเมื่อเทียบกับ ยุคแรกๆ ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่มีบทบาทต่อชีวิตประจำวันมากนัก ซึ่งส่งผลให้ความต้องการในการใช้งานส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้มีต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการและรอบรับการใช้ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ “Read – Write” เป็นการกล่าวถึงลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของ เว็บไซต์กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ในยุค Web 2.0 ซึ่งมีลักษณะเป็นการที่มีการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มากกว่าที่จะเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว โดยผู้เข้าชมสามารถทำการแสดงความคิดเห็น หรือทำการสร้างเนื้อหา โดยไม่ต้องเป็นหนึ่งในทีมสร้างเนื้อหาหรือเจ้าของเว็บไซต์ได้
            ส่วน " web2.0 " เป็นคำที่ถูกนิยามขึ้นโดยบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Media ของอเมริกาที่มีชื่อว่า " O'Reilly Media " ในปีค.ศ.2004 ซึ่ง " web2.0 " นี้เป็นชื่อที่ใช้เรียกรวมๆ เกี่ยวกับการใช้งาน " internet " ที่มีการก้าวเข้ามาสู่ยุคที่ 2 ที่มีพื้นฐานการให้บริการเป็นหลัก และมีรูปแบบการใช้งาน " internet " ที่เปลี่ยนไปหรือกล่าวได้ว่าเป็นสังคม " network " ที่ผู้ใช้ " internet " มีส่วนรวมในการสร้างมันขึ้นมาซึ่งเป็นการสะท้อนความต้องภายในของผู้ใช้อย่างชัดเจน ซึ่ง " web2.0 " มีคุณลักษณะ " web2.0 application " และ " web2.0 website " ซึ่งจะต้องมีสิ่งหลักๆ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
1. " network as platform " คือจะต้องให้บริการหรือสามารถใช้งานผ่านทาง " web browser " ได้
2. ผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของข้อมูลบน " website " นั้น สามารถดำเนินการใดๆ ก็ได้กับข้อมูลนั้น
3. โครงสร้างของการมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระนั้นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้เพิ่มคุณค่าให้กับ " website " หรือ " application " นั้น กล่าวคือ การมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระจะทำให้มีการใช้งานมาก ทำให้สิ่งนั้นมีคุณค่าน่าสนใจ
4. ใช้ ajax ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความฉลาดมีการโต้ตอบกับผู้ใช้และมี interfaceที่ง่ายในการใช้งาน
ตัวอย่างวิดีโอเว็บ 2.0 : http://www.youtube.com/watch?v=g7_mOdi3O5E&feature=related

Web3.0 ยุคของการพัฒนาเว็บไซต์
   เว็บ 3.0 เป็นแนวคิดที่ได้มาจากเว็บ 2.0 ที่เกิดขึ้นมากมาย ให้เว็บนั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้โดยเอาข้อมูลต่างๆที่มีอยู่มาจัดให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่สามารถบอกรายละเอียดได้ ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเองสมัยก่อนคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจว่าแต่ละเว็บคืออะไร เวลาไปค้นหาข้อมูล (Search) ก็ไม่รู้ แต่เว็บ 3.0 จะเป็นการเติมและเพิ่มความหมายเข้าไปในเนื้อหาสาระที่คอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจในตอนแรกให้เข้าใจมากขึ้น จนสามารถจะเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาด้วย text ธรรมดา การค้นหาภาพ (Image Search) รวมถึงความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่เป็นข้อมูลต่อเนื่อง (Stream line) เช่นคลิป เพลง วีดีโอ ซึ่งเป็นความอัจฉริยะของเว็บยุค 3.0 และ การจะทำให้เว็บไซต์เข้าใจข้อมูลทุกๆ ชิ้นที่อยู่ใน"เวิลด์ ไซด์ เว็บ" (www – world wide web)
ในอนาคตนี้ Web 3.0 กำลังจะมาซึ่งเกิดจากการที่มีข้อมูลเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ เกิดจากที่ผู้พัฒนาเว็บไซต์และผู้ที่เยี่ยมชมเว็บเข้ามาเขียนบทความ เขียนอะไรเพิ่มเติม ดังนั้น Web 3.0 จะเข้ามาเพื่อจัดการข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นนี้ โดยการใช้ Metadata ซึ่งเป็นการใช้บ่งบอกรายละเอียดของข้อมูล รูปแบบนี้ที่เราเห็นกันได้บ่อยๆ ก็คือ Tag นั่นเอง เมื่อมีการใช้ Tag เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บเราก็จะถูกดึงเข้ามา ดังนั้นจึงทำให้เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมเนื้อหาในเว็บมากจนเกินไป เนื่องจากตัวเว็บไซต์จะทำการประมวลผลและหาข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมาให้ เอง เช่น เว็บไซต์ Apple จะมี Tag ที่เป็น Computer ipod Technology ฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อที่ผู้เยี่ยมชมเว็บ Apple เกิดสนใจเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็สามารถจะอ่านต่อไปได้
ตัวอย่างวิดีโอเว็บ 3.0 : http://www.youtube.com/watch?v=6VfpVYYQzHs&feature=related

Web4.0
            Web4.0นั้นพัฒนาต่อจาก Web 3.0 โดยหัวใจของมันก็คือเรื่องของ Adaptable หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกและได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการมากที่สุดโดยประยุกต์ใช้รูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นตัวค้นหา อีกทั้งยังเป็นเว็บที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าผู้บริโภคชอบไม่ชอบอะไรในเว็บ หากชอบฟังค์ชันการทำงานนั้นก็จะปรับตัวให้ดียิ่งขึ้นและสร้างความเกี่ยวพันกับการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ถ้าหากไม่ชอบฟังค์ชันการทำงานนั้นๆจะค่อยหายไปจนไม่โผล่มากวนใจอีกเลย
เว็บ4.0เป็นแนวคิดเบื้องต้น เป็น learning web แทนที่จะต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรโดยเข้าไปในโปรแกรมต่างๆ คอมจะปรับตัวมันเองให้เข้ากับการใช้งานของผู้ใช้ เช่นปรับโปรแกรมเป็นโปรมแกรมที่เราตองการ เว็บ10.0 คือจินตนาการว่าเว็บฉลาดขึ้นจนถึงขีดสุด จะทำให้มันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ง่ายจนเราแทบไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เราคิดก็สามารถถ่ายถอดข้อมูลไปยังบุคคลอื่นได้ หรือรู้เองว่าเราอ่านหนังสือเล่มไหนแล้วเราชอบ รู้ว่าเรามีหนังสือกี่เล่มและสามารถแนะนำหนังสือที่เราอาจจะชอบได้ สรุปว่าเว็บในอนาคตจะฉลาดขึ้น รู้ความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมตลอดเวลา
 ตัวอย่างวิดีโอเว็บ 4.0 :  http://www.youtube.com/watch?v=uZEO03H__es&feature=related